กำเนิดแม่น้ำร่องช้าง(ตำนานที่ 1 ) พระครูสุวรรณคณาภิรักษ์ เจ้าอาวาสวัดบุญเกิด เจ้าคณะอำเภอดอกคำใต้ได้คัดมาจากตำนานพระธาตุแจ้โหว้เวียงห้าว (ที่มีคุเวียงโบราณยังมีเหลือให้เห็นอยู่ ที่บ้านปาง ต.คือเวียง อ.ดอกคำใต้เดี๋ยวนี้ ปางเมื่อ ท้าวพญาลิ้นก่านเป็นใหญ่อยู่ในเวียงห้าวนั้น ยังมีช้างตั๋ว 1 อยู่ที่ป่าคงยามีตั๋วดำ งาเขียว เขาจึงเรียกชื่อว่า “จ้างปู้กำงาเขียว” ปายลูนมาจ้างตั๋วนั้นตกน้ำมันไล่ฆ่าคน คนตั้งหลายก็แตกตื่น ไปอยู่ที่บ้านสักหลวงซึ่งเป็นเมืองที่ท้าวพญาลิ้นก้านอยู่ ท่านก็เกณฑ์คนตั้งหลายขุดคูรอบเมืองทั้งกลางวันกลางคืนอย่างรีบฟั่งฟ้าวห้าวหาญจนจอบเสียมถูกนิ้วมือติ่นนิ้วมือปุดขาดไป คนทั้งหลายจึงใส่ชื่อนามของท้าวพญาลิ้นก่านว่า “พระญาเวียงห้าว” คนทั้งหลายก็กลัวช้างปู้ก่ำงาเขียวนั้น เขาจึงพากันไปกราบไห้ว พญาเวียงห้าวว่าจะกระทำฉันใด พญาเวียงห้าวก็บอกหื้อคนทั้งหลายตกแต่งเครื่องบูชา แล้วพากันไปสักการบูชา พระธาตุแจ้โหว้ผู้คนทั้งหลายก็มาสมาทานศีลห้า ศีลแปด แล้ว โอกาสอารานาเอาปารมี อานุภาพแห่งพระ ธาตุเจ้าและเทวบุตรเทวดาช่วยป้องกันต่าง ๆ ต่อจากนั้นจ้างตัวปู้ก่ำงาเขียวก็ไม่สามารถเข้าไปในเมืองได้ จึงนอนอยู่ริมหนองน้ำแห่งหนึ่ง หนองน้ำแห่งนั้นกผ้มีปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “หนองหล่ม” อันปรากฏอยู่ที่หัวบ้านหนองหล่มตราบจนทุกวันนี้ ขณะนั้นเป็นเดชะบุญของพญาเวียงห้าว และไพร้ฟ้าข้ามมนตรีทั้งหลายที่ไปไหว้พระธาตุแจ้โหว้ สมาทานศีล 5 ศีล 8 ก็ดลบัลดาลให้ลูกสาวเมืองนันทบุรี (เมืองน่านปัจจุบันนี้ ) ให้มีใจใคร่นั่งสาด ( เสื่อ) งาปู้จ้างก่ำงาเขียว อันว่าพญามีความรักลูกเป็นอันมากจึงตีฆ้องกล่าวว่า “คนใดอาสาไปเอางาช้างปู้กำงาเขียวมาได้ พระองค์จักประทานเงินปันคำร้อย” เมื่อนั้นมีพรานคนหนึ่งรับอาสาไปเอางาช้างมา นายพรานนั้นก็ออกเดินทางไปตามป่าดงพงไพรก็ไปฆ่าช้างตัดเอางาไปถวายพญานันทบุรี พญานันทบุรีก็ให้คนผู้ที่ฉลาดจักสานงาช้างเป็นสาด (เสื่อ) เอาให้ลูกสาวขอนหนึ่งอีกขอน (ข้าง) ก็ยังมีงาช้างดำปรากฏในพิพิธภัณฑ์เมืองน่านจนทุกวันนี้ส่วนช้างปู้ก่ำงาเขียวเทื่อตายแล้วก็มีฟ้าฝนตกลงมา 7 วัน 7 คืน น้ำมากฟากนองเหลือล้นพ้นคณนาพัดเอาซากช้างตั๋วนั้นไหลไปตามห้วยดินแดง (คนทั้งหลายจึงเรียกห้วยดินแดงนั้นว่า “ฮ่องจ้าง” (ร่องช้าง) จนทุกวันนี้ น้ำร่องช้างเมื่อก่อนนั้นเมื่อผู้เขียนเป็นเด็กอยู่ (ปัจจุบันนี้ผู้เขียนมีอายุ 78 ปี) น้ำแห้งมากไม่แห้งขอดตลอดปีปูปลามีมาก เวลากลางพรรษา น้ำนองพัดเอาก่อไผ่ไหลมาตามลำน้ำไหลท่วมถนน หนทาง ท่วมบ้านเรือนเสียหายทุกปี มาบัดนี้แห้งแล้งไป ซากช้างเหล่านี้ได้คงค้างอยู่ที่หนองแห่งหนึ่งคนทั้งหลายเรียกว่า “หนองขวาง” หนองขวางนี้อยู่ที่ระหว่างบ้านร่องช้างและบ้านแม่อิงเดี่ยวนี้ คนทั้งหลาย จึงเรียกว่า “หนองขวาง” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันชิ้นส่วนต่างๆ ของช้างที่เน่าผุพังก็ไหลแยกออกไปตามลำน้ำหัวช้างไหลไปค้างที่บวก (หนองน้ำ) คนทั้งหลายจึงเรียกว่า “บวกหัวจ้าง” (ช้าง) ขาทั้งสามค้างอยู่บวกแห่งหนึ่ง คนทั้งหลาย จึงเรียกว่า “บวกสามขา” ส่วนไตของช้างหรือภาษาเมืองเหนือเรียกว่า “มะแกว” ไปค้างอยู่ที่แม่น้ำแห่งหนึ่ง คนทั้งหลาย จึงเรียกว่า “ฮ่อง (ร่อง) มะแกว ) ยังมีตราบเท่าทุกวันนี้ ลำดับต่อไปชิ้นส่วนต่าง ๆ ของช้างก็ไหลไปรวมกันที่ท้ายหนองก็ถูกพัดให้ทะลุถุถากจนซากช้างชิ้นส่วนเหล่านั้นหายไปหมด คนทั้งหลาย จึงเรียกว่า “หนองถุ”และคนทั้งหลายก็ยังเรียกว่าหนองถุจนทุกวันนี้ ฮ่องจ้างก็ดี หนองขวางก็ดี บวกหัวจ้างก็ดี อ่องมะแกวก็ดี และหนองถุกก็ดีก็ยังมีอยู่ในเขตระหว่าง อำเภอดอกคำใต้ และเขตกิ่งอำเภอภูกามยาวในปัจจุบัน ขอญาติโยมทั้งหลายช่วยกันอนุรักษ์ประวัติในท้องถิ่นของตนและช่วยอนุรักษ์ลำน้ำร่องช้างเอาไว้อย่างรุกล้ำถมที่สร้างบ้านเรือน อย่าถมสองข้างร่องช้างใส่ท่อน้ำนิเดียวน้ำจะไม่มีที่อยู่ที่ไหล อย่าไปทิ้งสิ่งกระปก ขยะมูลฝอย อย่าขุดส้วมห้อยตามลำน้ำ จะเป็นบาป ขอช่วยกันขุดก้นลอกให้ลึกให้มีน้ำอยู่ตลอดปีจะได้ใช้น้ำเมื่อเกิดไฟไหม้ไต้ลาม ปลาจะมีให้เด็กเห็นบ้าง เท่าที่มีบ้านอยู่ยาวเยียดตามลำน้ำร่องช้าง ตั้งแต่ตำบลหนองหล่ม ปิน คือเวียง บ้านถ้ำบางส่วน บุญเกิด ดอนศรีชุม และสว่างอารมณ์ ตามลำดับคนโบราณก็อาศัยสายน้ำร่องช้าง เป็นสายแห่งชีวิตจิตใจเขาโยกย้ายจากเมืองอื่นมาตั้งบ้านเรือนอยู่ เพราะอาศัยน้ำหล่อ เลี้ยงทำไร่ไถนา “ในน้ำมีปลาในนามีข้าว” ถ้าเราไม่ช่วยกันอนุรักษ์ ลูกหลานของเราจะอยู่อย่างทุกข์ ยากลำบากต่อไป และตัวเรามาเกิดอีกทีก็จะรักรรมที่เราทำไว้ จงช่วยกันอนูรักษ์เถิดบุญมาก (ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดทน ดำรงธรรมมั่น วินัยดี สามัคคี มีความสุข
วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ตำนานแม่น้ำร่องข้าง
กำเนิดแม่น้ำร่องช้าง(ตำนานที่ 1 ) พระครูสุวรรณคณาภิรักษ์ เจ้าอาวาสวัดบุญเกิด เจ้าคณะอำเภอดอกคำใต้ได้คัดมาจากตำนานพระธาตุแจ้โหว้เวียงห้าว (ที่มีคุเวียงโบราณยังมีเหลือให้เห็นอยู่ ที่บ้านปาง ต.คือเวียง อ.ดอกคำใต้เดี๋ยวนี้ ปางเมื่อ ท้าวพญาลิ้นก่านเป็นใหญ่อยู่ในเวียงห้าวนั้น ยังมีช้างตั๋ว 1 อยู่ที่ป่าคงยามีตั๋วดำ งาเขียว เขาจึงเรียกชื่อว่า “จ้างปู้กำงาเขียว” ปายลูนมาจ้างตั๋วนั้นตกน้ำมันไล่ฆ่าคน คนตั้งหลายก็แตกตื่น ไปอยู่ที่บ้านสักหลวงซึ่งเป็นเมืองที่ท้าวพญาลิ้นก้านอยู่ ท่านก็เกณฑ์คนตั้งหลายขุดคูรอบเมืองทั้งกลางวันกลางคืนอย่างรีบฟั่งฟ้าวห้าวหาญจนจอบเสียมถูกนิ้วมือติ่นนิ้วมือปุดขาดไป คนทั้งหลายจึงใส่ชื่อนามของท้าวพญาลิ้นก่านว่า “พระญาเวียงห้าว” คนทั้งหลายก็กลัวช้างปู้ก่ำงาเขียวนั้น เขาจึงพากันไปกราบไห้ว พญาเวียงห้าวว่าจะกระทำฉันใด พญาเวียงห้าวก็บอกหื้อคนทั้งหลายตกแต่งเครื่องบูชา แล้วพากันไปสักการบูชา พระธาตุแจ้โหว้ผู้คนทั้งหลายก็มาสมาทานศีลห้า ศีลแปด แล้ว โอกาสอารานาเอาปารมี อานุภาพแห่งพระ ธาตุเจ้าและเทวบุตรเทวดาช่วยป้องกันต่าง ๆ ต่อจากนั้นจ้างตัวปู้ก่ำงาเขียวก็ไม่สามารถเข้าไปในเมืองได้ จึงนอนอยู่ริมหนองน้ำแห่งหนึ่ง หนองน้ำแห่งนั้นกผ้มีปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “หนองหล่ม” อันปรากฏอยู่ที่หัวบ้านหนองหล่มตราบจนทุกวันนี้ ขณะนั้นเป็นเดชะบุญของพญาเวียงห้าว และไพร้ฟ้าข้ามมนตรีทั้งหลายที่ไปไหว้พระธาตุแจ้โหว้ สมาทานศีล 5 ศีล 8 ก็ดลบัลดาลให้ลูกสาวเมืองนันทบุรี (เมืองน่านปัจจุบันนี้ ) ให้มีใจใคร่นั่งสาด ( เสื่อ) งาปู้จ้างก่ำงาเขียว อันว่าพญามีความรักลูกเป็นอันมากจึงตีฆ้องกล่าวว่า “คนใดอาสาไปเอางาช้างปู้กำงาเขียวมาได้ พระองค์จักประทานเงินปันคำร้อย” เมื่อนั้นมีพรานคนหนึ่งรับอาสาไปเอางาช้างมา นายพรานนั้นก็ออกเดินทางไปตามป่าดงพงไพรก็ไปฆ่าช้างตัดเอางาไปถวายพญานันทบุรี พญานันทบุรีก็ให้คนผู้ที่ฉลาดจักสานงาช้างเป็นสาด (เสื่อ) เอาให้ลูกสาวขอนหนึ่งอีกขอน (ข้าง) ก็ยังมีงาช้างดำปรากฏในพิพิธภัณฑ์เมืองน่านจนทุกวันนี้ส่วนช้างปู้ก่ำงาเขียวเทื่อตายแล้วก็มีฟ้าฝนตกลงมา 7 วัน 7 คืน น้ำมากฟากนองเหลือล้นพ้นคณนาพัดเอาซากช้างตั๋วนั้นไหลไปตามห้วยดินแดง (คนทั้งหลายจึงเรียกห้วยดินแดงนั้นว่า “ฮ่องจ้าง” (ร่องช้าง) จนทุกวันนี้ น้ำร่องช้างเมื่อก่อนนั้นเมื่อผู้เขียนเป็นเด็กอยู่ (ปัจจุบันนี้ผู้เขียนมีอายุ 78 ปี) น้ำแห้งมากไม่แห้งขอดตลอดปีปูปลามีมาก เวลากลางพรรษา น้ำนองพัดเอาก่อไผ่ไหลมาตามลำน้ำไหลท่วมถนน หนทาง ท่วมบ้านเรือนเสียหายทุกปี มาบัดนี้แห้งแล้งไป ซากช้างเหล่านี้ได้คงค้างอยู่ที่หนองแห่งหนึ่งคนทั้งหลายเรียกว่า “หนองขวาง” หนองขวางนี้อยู่ที่ระหว่างบ้านร่องช้างและบ้านแม่อิงเดี่ยวนี้ คนทั้งหลาย จึงเรียกว่า “หนองขวาง” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันชิ้นส่วนต่างๆ ของช้างที่เน่าผุพังก็ไหลแยกออกไปตามลำน้ำหัวช้างไหลไปค้างที่บวก (หนองน้ำ) คนทั้งหลายจึงเรียกว่า “บวกหัวจ้าง” (ช้าง) ขาทั้งสามค้างอยู่บวกแห่งหนึ่ง คนทั้งหลาย จึงเรียกว่า “บวกสามขา” ส่วนไตของช้างหรือภาษาเมืองเหนือเรียกว่า “มะแกว” ไปค้างอยู่ที่แม่น้ำแห่งหนึ่ง คนทั้งหลาย จึงเรียกว่า “ฮ่อง (ร่อง) มะแกว ) ยังมีตราบเท่าทุกวันนี้ ลำดับต่อไปชิ้นส่วนต่าง ๆ ของช้างก็ไหลไปรวมกันที่ท้ายหนองก็ถูกพัดให้ทะลุถุถากจนซากช้างชิ้นส่วนเหล่านั้นหายไปหมด คนทั้งหลาย จึงเรียกว่า “หนองถุ”และคนทั้งหลายก็ยังเรียกว่าหนองถุจนทุกวันนี้ ฮ่องจ้างก็ดี หนองขวางก็ดี บวกหัวจ้างก็ดี อ่องมะแกวก็ดี และหนองถุกก็ดีก็ยังมีอยู่ในเขตระหว่าง อำเภอดอกคำใต้ และเขตกิ่งอำเภอภูกามยาวในปัจจุบัน ขอญาติโยมทั้งหลายช่วยกันอนุรักษ์ประวัติในท้องถิ่นของตนและช่วยอนุรักษ์ลำน้ำร่องช้างเอาไว้อย่างรุกล้ำถมที่สร้างบ้านเรือน อย่าถมสองข้างร่องช้างใส่ท่อน้ำนิเดียวน้ำจะไม่มีที่อยู่ที่ไหล อย่าไปทิ้งสิ่งกระปก ขยะมูลฝอย อย่าขุดส้วมห้อยตามลำน้ำ จะเป็นบาป ขอช่วยกันขุดก้นลอกให้ลึกให้มีน้ำอยู่ตลอดปีจะได้ใช้น้ำเมื่อเกิดไฟไหม้ไต้ลาม ปลาจะมีให้เด็กเห็นบ้าง เท่าที่มีบ้านอยู่ยาวเยียดตามลำน้ำร่องช้าง ตั้งแต่ตำบลหนองหล่ม ปิน คือเวียง บ้านถ้ำบางส่วน บุญเกิด ดอนศรีชุม และสว่างอารมณ์ ตามลำดับคนโบราณก็อาศัยสายน้ำร่องช้าง เป็นสายแห่งชีวิตจิตใจเขาโยกย้ายจากเมืองอื่นมาตั้งบ้านเรือนอยู่ เพราะอาศัยน้ำหล่อ เลี้ยงทำไร่ไถนา “ในน้ำมีปลาในนามีข้าว” ถ้าเราไม่ช่วยกันอนุรักษ์ ลูกหลานของเราจะอยู่อย่างทุกข์ ยากลำบากต่อไป และตัวเรามาเกิดอีกทีก็จะรักรรมที่เราทำไว้ จงช่วยกันอนูรักษ์เถิดบุญมาก (ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดทน ดำรงธรรมมั่น วินัยดี สามัคคี มีความสุข
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น